เอดส์ (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome)

เอดส์ (AIDS Acquired Immune Deficiency Syndrome)

เอดส์ (AIDS หรือ Acquired Immune Deficiency Syndromes) คือ กลุ่มอาการของโรคฉวยโอกาส เกิดจากการที่ร่างกายติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าไปจนถึงระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ เชื้อไวรัสจะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจนทำให้ผู้ป่วยมีจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ลดลง จนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย  ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคแทรกซ้อนที่เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาส  ซึ่งทำให้ติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ และอาการอาจจะรุนแรงจนเสียชีวิตในที่สุด

  • A = Acquired    หมายถึง สภาวะที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด
  • I = Immune     หมายถึง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานของร่างกาย
  • D = Deficiency  หมายถึง ความเสื่อมลง
  • S = Syndrome   หมายถึง กลุ่มอาการ หรืออาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะระบบใดระบบหนึ่ง

สาเหตุของเอดส์

สาเหตุของการเกิด โรคเอดส์ มาจากการได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV) ผ่านทางการรับของเหลว เช่น เลือด น้ำนมแม่ น้ำอสุจิ ของเหลวในช่องคลอด โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะได้รับผ่านจากการมีเพศสัมพันธ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับบุคคลอื่น ทั้งนี้การที่ไวรัสส่งผ่านทางของเหลวทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี สามารถส่งผ่านเชื้อไวรัสจากแม่ไปยังลูกในครรภ์ หรือผ่านทางน้ำนม 

เอดส์อาการเป็นอย่างไร ?

  • ระยะเฉียบพลัน ในระยะแรกนี้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี จะมีอาการไข้ เจ็บคอ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งเป็นอาการตอบสนองของร่างกายจากการได้รับเชื้อ
  • ระยะสงบ ระยะนี้สามารถกินเวลาเป็นหลายปี มักจะไม่มีอาการแสดงที่เด่นชัด หรือแทบจะไม่มีอาการป่วยเลย แต่ยังคงมีเชื้อพัฒนาอยู่ภายในร่างกาย
  • ระยะเอดส์ เป็นระยะที่เข้าสู่การเป็นโรคเอดส์ ซึ่งภูมิคุ้มกันร่างกายของผู้ป่วยถูกทำลายไปจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คือ มีเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 น้อยกว่า 200 cumm. และมีความเสี่ยงสูงที่จะติดโรคฉวยโอกาสซึ่งมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น โรคปอดอักเสบ การติดเชื้อราที่ทำให้เนื้อเยื่ออักเสบในปาก ช่องคลอด ปอด หรือการติดเชื้อไวรัสที่เป็นอันตรายกับตา ก่อเป็นวัณโรค จนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้
เอดส์ กับ เอชไอวี ต่างกันอย่างไร

เอดส์ กับ เอชไอวี ต่างกันอย่างไร ?

เอดส์ กับ เอขไอวี มีความแตกต่างกัน เพราะการติดเชื้อเอชไอวี ไม่ใช่โรค แต่เป็นการที่ร่างกายได้รับไวรัสเอชไอวีเข้าไปนั้นจะยังไม่แสดงอาการรุนแรงในระยะแรก ทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีแล้วบางคนอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวี ก็ทำให้ไม่ได้รับการรักษา เป็นผลทำให้การติดเชื้อเอชไอวีจากแรกเข้าสู่ระยะที่สองคือระยะเเพร่เชื้อ และเข้าสู่ระยะที่เริ่มแสดงอาการ เช่น เป็นไข้ ท้องร่วง เป็นงูสวัด ถ้าหากยังไม่ได้รับยาต้านไวรัส ปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกายก็จะสูงขึ้นจนไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรียกว่า ระยะเอดส์ หรือ สรุปง่ายๆเอดส์ คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวีนั่นเอง

การป้องกันเอดส์

เอดส์ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด ดังนั้นควรป้องกันโดยเอาใจใส่พฤติกรรมทางเพศของตนให้ปลอดภัยมากขึ้น เช่น สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ หมั่นตรวจเอชไอวีเป็นประจำ รวมทั้งรักษาสุขอนามัยโดยหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

เอดส์รักษาอย่างไร ?

ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาใดที่จะกำจัดเชื้อเอชไอวีให้หมดไปได้ในร่างกายของคนเรา มีเพียงแต่ยาที่จะช่วยชะลอการพัฒนาของโรค คือ ยาต้านเอชไอวี หรือยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretrovirals: ARVs) หากผู้ป่วยได้รับยาตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกที่ได้รับเชื้อ ยาจะออกฤทธิ์ควบคุมไม่ให้ไวรัสมีการแพร่กระจายและพัฒนาไปสู่การเจ็บป่วยในขั้นที่รุนแรง

ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็นโรคเอดส์

ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อเป็นโรคเอดส์

  • รับประทานยาต้านไวรัสให้ตรงเวลา
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • งดสิ่งเสพติดทุกชนิด
  • ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง (แต่ไม่ควรหักโหม)
  • ลดความเครียดโดยการหากิจกรรมที่ชอบทำหรือกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
  • ดูแลตัวเองในด้านสุขอนามัยเพื่อไม่ให้เกิดโรคฉวยโอกาสและเพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

ผู้ป่วยควรรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ และตรงเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะจะช่วยให้มีสุขภาพดี และมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น